การออกแบบกราฟฟิกสำหรับเว็บไซต์
กราฟฟิกเป็น องค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของเว็บเพจ ช่วยสื่อความหมายสร้างความเข้าใจไห้กับผู้ไช้ รวมทั้งช่วยสร้างความสวยงามไห้กับเว็บไซต์น่าดูยิ่งขึ้น


ปัจจุบันมีโปรแกรมหลายประเภทที่นำมาใช้ในการสร้างกราฟฟิกสำหรับเว็บ
- Adobe Photoshop
- Firework
- Gimp
ค่าพื้นฐานที่สามารถเลือกปรับได้คือ รูปแบบไฟล์ , ชุดสีที่ใช้ , จำนวนสี , ระดับความสูญเสีย , ความโปร่งใส และสีพื้นหลัง

1. มีไฟล์นามสกุลเป็น .gif
2 .ลักษณะเด่นของ gif คือการไม่ขึ้นกับระบบปฎิบัติการใดๆ
3 .GIF เป็นกราฟฟิกประเภทเดียวที่สามารถนำไปใช้กับบราวเซอร์ทุกชนิด โดยไม่ต้องคำนึงถึงเวอร์ชั่น ใดๆ
4. GIF มีคุณสมบัติในการเคลื่นไหว
5. GIF มีระบบเสียง Index เก็บข้อมูลสีได้สูงสุด 8 bit
6. คุณสมบัติ Interlaccing คือการบันทึกไฟล์ GIF เป็น 4ระดับ คือ
ที่คุณภาพ 12.5%, 25%,50% และ 100% ตามลำดับ
ข้อดี คือ ผู้ใช้สามารถเห็นภาพที่กำลังดาว์นโหลดอยู่มีความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ข้อเสีย คือ ขนาดไฟลืจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

GIF มีการบีบอัดข้อมมูลแบบไม่สูญเสีย(Lossless) หมายความว่าจะไม่มีการสูญเสียข้อมูลภาพจากการบีบอัด GIF ใช้การบีบอัดที่เรียกว่า LZW (Lempel -Ziv-Welch) ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่ใช้ในโปรแกรม Zip โดยใช้ประโยชน์จากการซ้ำซ้อนของข้อมูล

รูปที่ประกอบด้วยหลายๆ เฟรมในรูปเดียวกัน เมื่อมีการแสดงผลจะเห็นรูปมีการเปลี่ยนแปลงตาม เฟรมต่างๆ ที่มีอยู่อย่างต่อเนยื่อง
- ข้อดีของ Animeted GIF คือ ไม่ต้องอาศัย plug-inใดๆ เนื่องจากเบราเซอร์สนับสนุนคุณสมบัตินี้

ใช้ภาพเคลื่นไหวในจุดที่ต้องการไห้ผู้ชมสนใจมากที่สุด
ไม่ควรใช้ภาพเคลื่อนไหวมากเกินไป
การลดขนาดไฟล์ GIF
พยายามลดขนาดรูปหรือกราฟฟิกไห้เล็กไว้เสมอ ตัดเอาบางส่วนของรุปที่ไม่มีความจำเป็นออกไป ไช้ กราฟฟิกขนาดเล้กหลายๆรุปรวมกัน แทนที่จะใช้กราฟฟิก ขนาดไหญ่เพียงรุปเดียว

ออกแบบโดยใช้สีพื้นเข้าไว้
- เลือกใช้สีพื้นๆ ที่ไม่ซับซ้อน แทนที่จะเป็นการไล่สีจากสีหนึ่งไปอีกสีหนึ่ง
- จำกัดปริมาณของส่วนที่มีลักษณะของรูปภาพหรือภาพถ่ายในไฟล์ GIF
ออกแบลวดลายตามแนวนอน
- รุปลักษณะเดียวกัน 2 รูป รูปที่มีลวดลายตามแนวนอนจะมีขนาดไฟล์ที่เล็กกว่า
ลดจำนวนสีที่ใช้ลง
- แม้ว่ากราฟฟิกรูปแบบ GIF มีระบบสี 8 บิต แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้ทั้งหมดที่มีอยู่ก็ได้

- ออกแบบกราฟฟิกโดยใช้ชุดสีสำหรับเว็บ(Web Palette)
- เลือกใช้รูปแบบที่เหมาสม
- ตัดแบ่งกราฟฟิกออกเป้นส่วนย่อย
กระบวนการพัฒนาเว็บไซต์

การ
จัดระบบโครงสร้างข้อมูล คือการพิจารณาว่า
เว็บควรจะมีข้อมูลและการทำงานใดบ้าง โดยเริ่มจากการกำหนดเป้าหมาย
กลุ่มผู้ใช้เป้าหมาย เนื้อหาและการใช้งานที่จำเป็น
นำมาจัดกลุ่มให้เป็นระบบเป็นพื้นฐานในการออกแบบเว็บไซต์ที่ดี มีทั้งหมด 5
Phase
Phase 1 : สำรวจปัจจัยสำคัญ (Research)
1. รู้จักตัวเอง-กำหนดเป้าหมายและสำรวจความพร้อม
2 .เรียนรู้ผู้ใช้-ระบุกลุ่มผู้ใช้และศึกษาความต้องการ
3. ศึกษาคู่แข่ง-สำรวจการแข่งขันและการเรียนรู้คู่แข่ง
สิ่งที่ได้รับ
1. เป้าหมายหลักของเว็บ
2. ความต้องการของผู้ใช้
3 .กลยุทธ์ในการแข่งขัน
Phase 2 : พัฒนาเนื้อหา (Site Content)
4 .สร้างกลยุทธ์การออกแบบ
5 .หาข้อสรุปขอบเขตเนื้อหา
สิ่งที่ได้รับ
1. แนวทางการออกแบบเว็บ
2. ขอบเขตเนื้อหาและการใช้งาน
3. ข้อมูลที่ถูกจัดอย่างเป็นระบบ
Phase 3 : พัฒนาโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure)
6. จัดระบบข้อมูล
7. จัดทำโครงสร้างข้อมูล
8. พัฒนาระบบเนวิเกชัน
สิ่งที่ได้รับ
1. แนวทางการออกแบบเว็บ
2. ขอบเขตเนื้อหาและการใช้งาน
3. ข้อมูลที่ถูกจัดอย่างเป็นระบบ 7
Phase 4 : ออกแบบและพัฒนาหน้าเว็บ (Visual Design)
9. ออกแบบลักษณะหน้าตาเว็บ
10. พัฒนาเว็บต้นแบบและข้อกำหนดสุดท้าย
สิ่งที่ได้รับ
1. ลักษณะหน้าตาของเว็บ
2. เว็บต้นแบบที่จะใช้ในการพัฒนา
3. รูปแบบโครงสร้างของเว็บ
4. ข้อกำหนดในการพัฒนาเว็บ
Phase 5 : พัฒนาและดำเนินการ (Production & Operation)
11. ลงมือพัฒนาเว็บ
12. เปิดเว็บไซต์
13. ดูแลและพัฒนาต่อเนื่อง
สิ่งที่ได้รับ
1. เว็บที่สมบูรณ์
2. เปิดตัวเว็บและทำให้เป็นที่รู้จัก
3. แนวทางการดูแลและพัฒนาต่อไป
Phase 1 : สำรวจปัจจัยสำคัญ (Research)
1. รู้จักตัวเอง-กำหนดเป้าหมายและสำรวจความพร้อม
2 .เรียนรู้ผู้ใช้-ระบุกลุ่มผู้ใช้และศึกษาความต้องการ
3. ศึกษาคู่แข่ง-สำรวจการแข่งขันและการเรียนรู้คู่แข่ง
สิ่งที่ได้รับ
1. เป้าหมายหลักของเว็บ
2. ความต้องการของผู้ใช้
3 .กลยุทธ์ในการแข่งขัน
Phase 2 : พัฒนาเนื้อหา (Site Content)
4 .สร้างกลยุทธ์การออกแบบ
5 .หาข้อสรุปขอบเขตเนื้อหา
สิ่งที่ได้รับ
1. แนวทางการออกแบบเว็บ
2. ขอบเขตเนื้อหาและการใช้งาน
3. ข้อมูลที่ถูกจัดอย่างเป็นระบบ
Phase 3 : พัฒนาโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure)
6. จัดระบบข้อมูล
7. จัดทำโครงสร้างข้อมูล
8. พัฒนาระบบเนวิเกชัน
สิ่งที่ได้รับ
1. แนวทางการออกแบบเว็บ
2. ขอบเขตเนื้อหาและการใช้งาน
3. ข้อมูลที่ถูกจัดอย่างเป็นระบบ 7
Phase 4 : ออกแบบและพัฒนาหน้าเว็บ (Visual Design)
9. ออกแบบลักษณะหน้าตาเว็บ
10. พัฒนาเว็บต้นแบบและข้อกำหนดสุดท้าย
สิ่งที่ได้รับ
1. ลักษณะหน้าตาของเว็บ
2. เว็บต้นแบบที่จะใช้ในการพัฒนา
3. รูปแบบโครงสร้างของเว็บ
4. ข้อกำหนดในการพัฒนาเว็บ
Phase 5 : พัฒนาและดำเนินการ (Production & Operation)
11. ลงมือพัฒนาเว็บ
12. เปิดเว็บไซต์
13. ดูแลและพัฒนาต่อเนื่อง
สิ่งที่ได้รับ
1. เว็บที่สมบูรณ์
2. เปิดตัวเว็บและทำให้เป็นที่รู้จัก
3. แนวทางการดูแลและพัฒนาต่อไป
- การแบ่งข้อมูลต้องอาศัยพื้นฐานทางด้านภาษามาช่วยเพราะคำหนึ่งคำมีความหมายได้หลายอย่างในเหตุการณ์ต่างกัน
- การแบ่งหมวกหมู่ในเว็บมักจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นนามธรรม เช่น หัวเรื่องหรือข้อความ ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจระบบการจัดกลุ่มข้อมูลที่เราได้ออกแบบไว้
การจัดลำดับความสำคัญของข้อมูล
ได้แก่ การจัดกลุ่มข้อมูลการกำหนดตำแหน่งของข้อมูลและเทคนิคที่ใช้นำเสนอผู้ออกแบบควรจัดกลุ่มข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน โดยรูปแบบการจัดกลุ่มข้อมูลอาจกระทำได้หลายลักษณะ หลักการออกแบบโครงสร้างระบบข้อมูลแบบลำดับชั้นควรมีจำนวน 7 บวกลบ 2 รายการในเมนูที่มีจำนวนรายการมากกว่า 10 จะสร้างความรู้สึกว่ามากเกินไปส่วนความลึกไม่ควรเกิน 4-5 ชั้น เพราะจะทำให้ผู้ใช้อาจหมดหวังและเลิกล้มความตั้งใจได้ โครงสร้างระบบข้อมูลแบบไฮเปอร์เท็กซ์มีลักษณะคล้ายเครือข่ายโยงใยโครงสร้างระบบนี้แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ รายการ
หรือกลุ่มข้อมูลที่ถูกลิงค์กับลิงค์ที่เชื่อมโยงข้อมูลเหล่านั้นส่วนใหญ่จึง
มักนำระบบนี้มาใช้เป็นส่วนเสริมให้กับโครงสร้างข้อมูลแบบลำดับชั้น
โครงสร้างข้อมูลแบบฐานข้อมูล
มักนิยมใช้กับเว็บขนาดใหญ่ การนำระบบฐานข้อมูลมาใช้ในเว็บจะช่วยเพิ่มความสามารถในการค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง แต่เป็นเรื่องยากที่จะเอาข้อมูลทั้งหมดมาไว้ในฐานข้อมูล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น